List of content

อัตราดอกเบี้ยนโยบายคืออะไร? เข้าใจกลไกดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง


อัตราดอกเบี้ยนโยบายคืออะไร? เข้าใจกลไกดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง

ในโลกของเศรษฐกิจ, การเงิน และการลงทุน สิ่งที่เรียกว่า "อัตราดอกเบี้ยนโยบาย" ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ธนาคารกลางของสหรัฐ (FED) ใช้ในการควบคุมเศรษฐกิจ โดยอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่แค่เพียงการกำหนดต้นทุนการกู้ยืมของสถาบันการเงิน แต่ยังส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนและประชาชนในระบบเศรษฐกิจอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจความหมายของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย, กลไกการทำงานของดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ และผลกระทบของการปรับอัตราดอกเบี้ยในมิติต่าง ๆ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของเครื่องมือทางการเงินที่ทรงอิทธิพลนี้ได้อย่างชัดเจนครับ

 

นโยบายการเงินคืออะไร?

นโยบายการเงิน (Monetary Policy) คือ มาตรการทางการเงินที่ธนาคารกลางใช้ในการควบคุมและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักในการควบคุมปริมาณเงินให้เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเงินเฟ้อหรือเงินฝืดที่มากเกินไป นโยบายการเงินสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่

  • นโยบายแบบผ่อนคลาย (Expansionary Monetary Policy)
  • นโยบายแบบเข้มงวด (Contractionary Monetary Policy)

นโยบายแบบผ่อนคลาย

นโยบายแบบเข้มงวด

ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อส่งเสริมการกู้ยืมและการลงทุน เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อชะลอการกู้ยืมและการใช้จ่าย
รับซื้อพันธบัตรรัฐบาล เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ขายพันธบัตรรัฐบาล เพื่อลดสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
ลดอัตราเงินสำรองขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ เพื่อเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ เพิ่มอัตราเงินสำรองขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ เพื่อลดปริมาณเงินหมุนเวียน

 

อัตราดอกเบี้ยนโยบายคืออะไร?

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Interest Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางกำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสำหรับสถาบันการเงินในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินฝากและเงินกู้ยืม โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินนโยบายการเงิน (Monetary Policy) ซึ่งธนาคารกลางสามารถปรับเปลี่ยนอัตรานี้ได้ตามสภาพเศรษฐกิจและเป้าหมายที่ต้องการ เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาวะเงินฝืดหรือการควบคุมเงินในภาวะเงินเฟ้อ 

โดยธนาคารที่ใช้กลไกอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการควบคุมเสถียรภาพเศรษฐกิจ อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve System), ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank) รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีการใช้กลยุทธ์นี้เช่นกันครับ

 

ดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ คืออะไร? 

 

ดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯ

ดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ หรือที่เรียกว่า "อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Funds Rate)" คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯ ใช้ในการกู้ยืมและปล่อยกู้ระยะสั้นระหว่างกันในตลาดเงินข้ามคืน (Overnight Lending Market) โดยมีจุดประสงค์เพื่อบริหารสภาพคล่องในระบบการเงินนั่นเองครับ

โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve System หรือ FED) กำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนี้เป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เช่น การควบคุมอัตราเงินเฟ้อ สนับสนุนการจ้างงาน และรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยโดย FED ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ใช้กับลูกค้ารายย่อย เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้, ดอกเบี้ยเงินฝาก รวมถึงมีอิทธิพลต่อการลงทุน, การบริโภค และการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

 

ประเภทของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ สามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ดังนี้

อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate Policy)

อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate Policy) คือ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยในระดับที่แน่นอน และคงที่ตลอดระยะเวลาที่ธนาคารกลางกำหนด วิธีนี้มักถูกนำมาใช้ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจต้องการเสถียรภาพหรือในช่วงเวลาที่ต้องการสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจและประชาชนเกี่ยวกับต้นทุนทางการเงิน

ข้อดีของอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate Policy)

  • อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลง มีความชัดเจนและแน่นอน ทำให้ผู้กู้สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการวางแผนระยะยาว
  • ช่วยลดความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
  • ช่วยสร้างเสถียรภาพและกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน สำหรับประเทศที่มีการส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ 

 

ข้อเสียของอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate Policy)

  • อัตราดอกเบี้ยขาดความยืดหยุ่น หากเกิดวิกฤตหรือเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจจะไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
  • ไม่เหมาะสำหรับเศรษฐกิจที่มีความผันผวนสูง

 

อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate Policy)

อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate Policy) คือ อัตราดอกเบี้ยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาวะตลาดและปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ควบคุมเงินเฟ้อ, สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน

 

ข้อดีของอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate Policy)

  • สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจได้ทันที เช่น หากเกิดภาวะเงินเฟ้อสูง ก็สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลอการใช้จ่ายได้
  • ช่วยสนับสนุนการปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ โดยส่งสัญญาณไปยังตลาดว่าควรมีการลงทุนหรือการออมที่เหมาะสม
  • สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาสินค้าและบริการในประเทศ

 

ข้อเสียของอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate Policy)

  • อัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงบ่อยอาจทำให้ผู้กู้ยืมเงินต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางการเงิน เนื่องจากต้นทุนทางการเงินอาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • นักลงทุนไม่สามารถคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าได้ อาจเผชิญกับความเสี่ยงด้านผลตอบแทน
  • การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยบ่อยครั้งอาจทำให้ตลาดและผู้บริโภคเกิดความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจ

 

ทำไมถึงต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย?

สาเหตุที่ธนาคารกลางสหรัฐมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะต้องการบรรลุเป้าหมายเศรษฐกิจหลัก ได้แก่

  1. การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจดำเนินไปได้อย่างสมดุล และเสริมสร้างความมั่นคงในระยะยาว
  2. การควบคุมอัตราเงินเฟ้อ เพื่อให้ระดับเงินเฟ้ออยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม และป้องกันการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
  3. การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นการลงทุน การบริโภค และการจ้างงาน
  4. การรักษาเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อป้องกันการเกิดฟองสบู่ในตลาดการเงินและส่งเสริมความมั่นคงของระบบธนาคาร
  5. การบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน ใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการควบคุมค่าเงินให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและการค้า

ตัวอย่างการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในวิกฤตเศรษฐกิจ

ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลก เช่น วิกฤตการเงินปี 2008 หรือวิกฤตโควิด-19 ธนาคารกลางทั่วโลกได้ดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสหรัฐ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อสนับสนุนการลงทุนและรักษาเสถียรภาพในตลาดการเงิน

ผลกระทบของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อประชาชนทั่วไป

  • ผู้กู้ยืมเงิน
    เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง ผู้กู้สามารถเข้าถึงเงินทุนในต้นทุนที่ต่ำลง เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้บ้านหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ถูกลง

  • ผู้ฝากเงิน
    ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ผู้ฝากเงินในธนาคารอาจได้รับผลตอบแทนจากการฝากเงินลดลง

  • นักลงทุน
    ตลาดหุ้นและตราสารหนี้มักได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยทั่วไปแล้ว การลดดอกเบี้ยจะกระตุ้นให้ตลาดหุ้นคึกคัก ขณะที่การขึ้นดอกเบี้ยอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อมูลค่าการลงทุน

 

ธนาคารกลางสหรัฐ มีหน้าที่อะไร?