List of content

5 Indicators ยอดนิยมในการเทรดทำกำไร


5 Indicators ยอดนิยมในการเทรดทำกำไร

Indicators เป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนจำเป็นต้องรู้เมื่อเข้าสู่ตลาด Forex โดย Indicators เป็นเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมทั้งช่วยกำหนดเวลาที่เหมาะสมในการซื้อและขายหลักทรัพย์ เพื่อให้สามารถตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในบทความต่อไปนี้ทาง FXbrokerscam จะแนะนำ 5 Indicators ยอดนิยมในการเทรด เพื่อให้คุณพิจารณาตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการเทรดของคุณครับ

Indicator คืออะไร?

Indicator หรือ อินดิเคเตอร์ คือเครื่องมือทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ของตลาดการเงิน โดยคำนวณจากข้อมูลราคา, ปริมาณการซื้อขาย และช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มของราคา โดยอินดิเคเตอร์มีหลากหลายประเภท แต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์รวมถึงวิธีการคำนวณที่แตกต่างกัน ดังนั้นเทรดเดอร์ควรศึกษาหลาย ๆ อินดิเคเตอร์เพื่อให้สามารถปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสไตล์ของตนเองมากที่สุดครับ

 

ประเภทของ Indicators มีอะไรบ้าง?

Indicators โดยทั่วไปหลัก ๆ จะแบ่งออกเป็น 4 หมวดหมู่ ได้แก่

  1. หมวดเครื่องมือติดตามแนวโน้ม (Trend Following)
  2. หมวดเครื่องมือวัดการแกว่งตัว (Oscillator)
  3. หมวดเครื่องมือวัดความผันผวน (Volatility)
  4. หมวดเครื่องมือแนวรับและแนวต้าน (Support/Resistance)

ซึ่งอินดิเคเตอร์แต่ละตัวจะมีการคำนวณที่แตกต่างกันและมีประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป วันนี้เราจะมาดูอินดิเคเตอร์ยอดนิยมในตลาด Forex ที่ผู้คนทั่วโลกให้การยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลาย จะมีอะไรบ้างไปดูพร้อม ๆ กันเลย 

หมายเหตุ : ในการวิเคราะห์ด้วย Indicators เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น ควรใช้อย่างน้อยมากกว่า 1 ตัวมานำมาวิเคราะห์ควบคู่กันนะครับ

 

5 Indicators ยอดนิยมในการเทรดทำกำไร

การเทรดด้วยอินดิเคเตอร์เป็นกลยุทธ์ยอดนิยมที่เทรดเดอร์ใช้เพื่อวิเคราะห์ราคาสินทรัพย์และคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา อินดิเคเตอร์เหล่านี้ใช้ข้อมูลทางคณิตศาสตร์เพื่อแปลงข้อมูลราคาเป็นรูปแบบที่เข้าใจง่าย ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุรูปแบบ, แนวโน้ม และโอกาสในการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้น

แม้ว่าจะมีอินดิเคเตอร์มากมาย แต่มี 5 ตัวที่ได้รับความนิยมและใช้งานกันอย่างแพร่หลายโดยเทรดเดอร์ทั่วโลก ดังนี้

  • Bollinger Bands (BB)
  • Relative Strength Indicators (RSI)
  • Momentum Indicators
  • On-Balance-Volume (OBV)
  • Moving Average Convergence Divergence (MACD)

 

1. Bollinger Bands (BB)

Bollinger Bands เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้เพื่อวัดความผันผวนของราคาสินทรัพย์ โดยจะใช้ดูเทรนด์และการกลับตัวของราคาเป็นหลัก การใช้ Indicator นี้จะใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MA) เป็นแนวกลางและเส้นเบี่ยงเบนมาตรฐานสองเส้นด้านบนและด้านล่าง โดยจะใส่ราคาลงในกล่องระหว่างเส้นขอบนอกสองเส้น และราคาจะมีการเคลื่อนที่โดยการหมุนรอบเส้นกลางอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุจุดซื้อเกิน (Overbought) และขายเกิน (Oversold)

 

Bollinger Bands (BB)

 

หลักการใช้ Bollinger Bands (BB)

ราคาจะซื้อขายกันอยู่ในกรอบ Bollinger Bands

  • ทะลุเส้นบน หมายถึง ภาวะ Overbought 
  • ทะลุเส้นล่าง หมายถึง ภาวะ Oversold
  • ราคาไม่ทะลุด้านใดด้านหนึ่งแสดงว่าราคายังอยู่ในสภาวะเดิม

ข้อดี-ข้อเสียของ Bollinger Bands (BB)

 

ข้อดีของ Bollinger Bands (BB)
ข้อเสียของ Bollinger Bands (BB)
  • เหมาะกับตลาดที่มีการ Sideway (หากเทรดคู่สกุลเงินนั้น ๆ ในช่วงที่เลือก)
  • สามารถใช้เป็นแนวรับและแนวต้านได้ เมื่อเปิดตำแหน่งขึ้นมา 
  • สัญญาณทางเทคนิคจะช้ากว่า การหาจุดเข้าเทรดค่อนข้างเสียเปรียบ 
  • ไม่สามารถใช้อีกฝั่งตรงข้ามได้ ดังนั้นจึงหาจุด TP ที่เหมาะสมยาก ควรใช้ Indicators อื่น ๆ ร่วมด้วย

 

ข้อแนะนำเกี่ยวกับการใช้ Bollinger Bands (BB)

  • นิยมใช้ในการเทรดระยะสั้น ๆ
  • สามารถใช้เทรดด้วยกลยุทธ์แบบ Breakouts (เข้าเทรดทันที เมื่อราคาเกิดการทะลุแนวรับ-แนวต้าน)
  • ใช้ได้ดีกับกราฟแท่งเทียน, Trendline และสัญญาณเคลื่อนไหวราคาอื่น ๆ
  • ควรใช้ Bollinger Bands ร่วมกับ Indicators อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น Relative Strength Indicators (RSI) และ Oscillators (OCT) 

 

2. Relative Strength Indicators (RSI)

Relative Strength Indicators (RSI) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลของกราฟทางเทคนิค โดยบ่งบอกโมเมนตัมราคาว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลง และบอกสภาวะของตลาดว่าเกิดการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยจะแสดงเป็นกราฟเส้นที่สามารถอ่านค่าได้ตั้งแต่ 0–100

Relative Strength Indicators (RSI)

 

หลักการใช้ Relative Strength Indicators (RSI)

  • เส้น RSI ตัดผ่าน 70 หมายถึง ภาวะ Overbought
  • เส้น RSI ตัดผ่าน 30 หมายถึง ภาวะ Oversold 
  • หรือพฤติกรรมราคาระดับ 30-70 แสดงว่าราคายังอยู่ในสภาวะเดิม

ข้อดี-ข้อเสียของ Relative Strength Indicators (RSI)

 

ข้อดีของ Relative Strength Indicators (RSI)
ข้อเสียของ Relative Strength Indicators (RSI)
  • วัดขนาดและความเร็วของการเคลื่อนไหวของราคาทิศทาง
  • บอกสัญญาณ Overbought และ Oversold 
  • สามารถช่วยบอกถึงสัญญาณเตือนการกลับตัวได้ (Divergence)
  • RSI สามารถยังคงอยู่ในสถานะ Overbought หรือ Oversold เป็นระยะเวลานานในตลาดที่มีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ทำให้สัญญาณการซื้อขายมีการผิดพลาดได้มาก

 

ข้อแนะนำเกี่ยวกับการใช้ Relative Strength Indicators (RSI)

  • เหมาะกับการใช้ Timeframe ที่ขนาดใหญ่ขึ้นไป เช่น 1H, 4H หรือ 1D
  • เหมาะสำหรับการเริ่มต้นเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

 

3. Momentum Indicators

Momentum Indicators เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่มีการบ่งบอกการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในการซื้อขาย เป็นการวิเคราะห์ในตลาดที่เป็น Sideways จะเคลื่อนไหวตามโมเมนตัม ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนทิศทางของราคา ทำให้เทรดเดอร์รู้สัญญาณเตือนการกลับตัวของราคาที่อาจเกิดขึ้นได้

Momentum Indicators

 

ข้อดี-ข้อเสียของ Momentum Indicators

 

ข้อดีของ Momentum Indicators
ข้อเสียของ Momentum Indicators
  • บอกสัญญาณ Overbought และ Oversold 
  • ช่วยสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในการซื้อขาย และสามารถดูเพื่อหาสัญญาณการซื้อขาย
  • การวัดโมเมนตัม อาจจะไม่ได้ดูทิศทางของการปรับตัวขึ้นหรือลง แต่จะดูถึงอัตราเร่งของราคา 

 

ข้อแนะนำ Momentum Indicators

  • เมื่อโมเมนตัมพุ่งไปราคาสูงสุดหรือต่ำสุด จะให้สัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้น/ขาลง ในปัจจุบันจะดำเนินต่อไป
  • ระดับสูงสุดของตัวบ่งชี้บ่งบอกถึงแรงโมเมนตัมที่มากพอจะทำให้ราคาดำเนินต่อไปในทิศทางนั้น ๆ 
  • RSI สามารถยังคงอยู่ในสถานะ Overbought หรือ Oversold เป็นระยะเวลานานในตลาดที่มีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ทำให้สัญญาณการซื้อขายมีการผิดพลาดได้มาก

 

4. On-Balance-Volume (OBV)

On-Balance-Volume เป็นตัวบ่งชี้ว่าปริมาณการซื้อขายที่ผ่านมานั้นมีการผลักขึ้นหรือลง และจะวัดการเปลี่ยนแปลงปริมาณเพื่อคาดการณ์ราคา OBV จะจำกัดการเปลี่ยนแปลงของราคาเพื่อปริมาณการซื้อขาย และปริมาณมากมักเกิดขึ้นก่อนการเคลื่อนไหวของตลาดที่แข็งแกร่ง