ทฤษฎีดาว Dow Theory คืออะไร ?
วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ "ทฤษฎี Dow Theory" ที่นับว่าเป็นทฤษฎีที่สำคัญมากที่สุดในการลง...
5 Indicators ยอดนิยมในการเทรด
Indicators โดยทั่วไปหลัก ๆ จะแบ่งออกเป็น 4 หมวดหมู่ ได้แก่
1. หมวดเครื่องมือติดตามแนวโน้ม (Trend Following)
2. หมวดเครื่องมือวัดการแกว่งตัว (Oscillator)
3. หมวดเครื่องมือวัดความผันผวน (Volatility)
4. หมวดเครื่องมือแนวรับและแนวต้าน (Support/Resistance)
ซึ่งอินดิเคเตอร์แต่ละตัวจะมีการคำนวณที่แตกต่างกันและมีประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไ วันนี้เราจะมาดูอินดิเคเตอร์ยอดนิยมในตลาด Forex ที่ผู้คนทั่วโลกให้การยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลาย จะมีอะไรบ้างไปดูพร้อม ๆ กันเลย (ในการวิเคราะห์ด้วย Indicators ที่ดีนั้นเราควรใช้อย่างน้อยมากกว่า 1 มานำมาวิเคราะห์ควบคู่กันนะครับ)
1. Bollinger Band
Bollinger Band ใช้เพื่อวัดความผันผวน โดยจะเอาใช้ดูเทรนด์และการกลับตัวของราคาเป็นหลัก
โดยจะใส่ราคาลงในกล่องระหว่างเส้นขอบนอกสองเส้น และราคาจะมีการเคลื่อนที่โดยการหมุนรอบเส้นกลางอย่างต่อเนื่อง
หลักการใช้ Bollinger Band
ราคาจะซื้อขายกันอยู่ในกรอบ Bollinger Bands
ทะลุเส้นบน หมายถึง ภาวะ Overbought
ทะลุเส้นล่าง หมายถึง ภาวะ Oversold
หรือพฤติกรรมราคาไม่ทะลุด้านใดด้านหนึ่งแสดงว่าราคายังอยู่ในสภาวะเดิม
ข้อดี
- เหมาะกับตลาดที่มีการ Sideway (หากเทรดคู่สกุลนั้น ๆ ในช่วงที่เลือก)
- สามารถใช้เป็นแนวรับและแนวต้านได้ เมื่อเปิดตำแหน่งขึ้นมา
ข้อเสีย
- สัญญาณทางเทคนิคจะช้ากว่า การหาจุดเข้าเทรดค่อนข้างเสียเปรียบ
- ไม่สามารถใช้อีกฝั่งตรงข้ามได้ ดังนั้นจึงหาจุด TP ที่เหมาะสมยาก ควรใช้ Indicators อื่น ๆ ร่วมด้วย
ข้อแนะนำ
- นิยมใช้ในการเทรดระยะสั้น ๆ
- สามารถใช้เทรดด้วยกลยุทธ์แบบ Breakouts (เข้าเทรดทันที เมื่อราคาเกิดการทะลุแนวรับ-แนวต้าน)
- ใช้ได้ดีกับกราฟแท่งเทียน , Trendline และสัญญาณเคลื่อนไหวราคาอื่น ๆ
- ควรใช้ Bollinger Band ร่วมกับ Indicators อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น Relative Strength Index (RSI) , Oscillators (OCT)
2.Relative Strength Indicators (RSI)
Relative Strength Indicators (RSI) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลของกราฟทางเทคนิค โดยบ่งบอกโมเมนตัมราคาว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลงและบอกสภาวะของตลาดว่ามีเกิดการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยจะแสดงเป็นกราฟเส้นที่สามารถอ่านค่าได้ตั้งแต่ 0 – 100
หลักการใช้ RSI
เส้น RSI ตัดผ่าน 70 หมายถึง ภาวะ Over Bought
เส้น RSI ตัดผ่าน 30 หมายถึง ภาวะ Oversold
หรือพฤติกรรมราคาระดับ 30-70 แสดงว่าราคายังอยู่ในสภาวะเดิม
ข้อดี
- วัดขนาดและความเร็วของการเคลื่อนไหวของราคาทิศทาง
- บอกสัญญาณ Overbought และ Oversold
- สามารถช่วยบอกถึงสัญญาณเตือนการกลับตัวได้ (Divergence)
ข้อเสีย
- RSI สามารถยังคงอยู่ในสถานะ Overbought หรือ Oversold เป็นระยะเวลานานในตลาดที่มีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ทำให้สัญญาณการซื้อขายมีการผิดพลาดได้มาก
ข้อแนะนำ
- เหมาะกับการใช้ Timeframe ที่ขนาดใหญ่ขึ้นไป (เช่น 1ชม. 4ชม. หรือ 1 วัน)
- เหมาะสำหรับการเริ่มต้นเรียนรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
3.Momentum Indicators
เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่กำหนด และช่วยสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในการซื้อขาย เป็นการวิเคราะห์ในตลาดที่เป็น Sideways จะเคลื่อนไหวตามโมเมนตัม ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนทิศทางของราคา จึงใช้บอกสัญญาณเตือนการกลับตัวของราคาที่อาจเกิดขึ้นได้
ข้อดี
- บอกสัญญาณ Overbought และ Oversold
- ช่วยสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในการซื้อขายและสามารถดูเพื่อหาสัญญาณการซื้อขาย
ข้อเสีย
- การวัดโมเมนตัม อาจจะไม่ได้ดูทิศทางของการปรับตัวขึ้นหรือลง แต่จะดูถึงอัตราเร่งของราคา
ข้อแนะนำ
- เมื่อโมเมนตัมพุ่งไปราคาสูงสุดหรือค่ำสุด จะให้สัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้น/ขาลง ในปัจจุบันดำเนินต่อไป
- ระดับสูงสุดของตัวบ่งชี้บ่งบอกถึงแรงโมเมนตัมที่มากพอจะทำให้ราคาดำเนินต่อไปในทิศทางนั้น ๆ
4. On-Balance-Volume (OBV)
เป็นตัวบ่งชี้ว่าปริมาณการซื้อขายที่ผ่านมานั้นมีการผลักขึ้นหรือลง และจะวัดการเปลี่ยนแปลงปริมาณเพื่อคาดการณ์ราคา OBV จะจำกัดการเปลี่ยนแปลงของราคาเพื่อปริมาณการซื้อขาย และปริมาณมากมักเกิดขึ้นก่อนการเคลื่อนไหวของตลาดที่แข็งแกร่ง
ข้อดี
- สามารถระบุจุดกลับตัวหรือสัญญาณความต่อเนื่องของแนวโน้ม
- สัญญาณในกรอบ Timeframe ระยะกลางถือว่ามีแม่นยำสูง
ข้อเสีย
- การนำไปใช้ประกอบกับเทรนด์หรือประกอบกับช่วงราคาที่นานมากเกินไป อาจจะไม่สะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับโวลุ่มได้
- ไม่เหมาะกับเครื่องมือที่มีความผันผวนต่ำและมีปริมาณการซื้อขายต่ำ
ข้อแนะนำ
- เหมาะกับการใช้ Timeframe ที่ขนาดเล็ก-กลาง
5. Moving Average Convergence Divergence (MACD)
เป็นเครื่องมือที่ดูทิศทางของราคา โดยเทรดตามแนวโน้ม (Trend Following) และบอกสัญญาญจังหวะการเข้าซื้อ รวมถึงสามารถเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความแรงของตลาดได้ว่าเป็นภาวะตลาดที่เป็นขาขึ้นหรือขาลงได้
ข้อดี
- สามารถดูแนวโน้มหรืออันดับของตลาดได้
- มีกฏการใช้งานคล้ายกับ Oscillator
ข้อเสีย
- จะช้ากว่าราคาบนชาร์จ ดังนั้นสัญญาณบางอย่างอาจจะมาช้า
ข้อแนะนำ
- เส้นตัดระหว่างแท่ง Histogram และเส้นสัญญาณเป็นตัวบ่งบอกสัญญาญที่ดีของ MACD
หลักการพื้นฐานการเทรด คือ เมื่อราคาเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) เราจะ Buy เมื่อราคาปรับลงมาแล้ว และหากราคาเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend) เราจะรอ Sell เมื่อราคามีการเด้งกลับตัวขึ้นมา
โดยต้องคิดไว้อยู่เสมอว่าการใช้ MACD นั้น เพื่อใช้เป็นสัญญาณเตือนการ Retracement หลังจากนั้นจึงเป็นขั้นตอนการกรอบสัญญาณยืนยันด้วยวิธีการอื่น ซึ่งจะช่วยให้การเทรดของเราง่ายมากขึ้นครับ
วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ "ทฤษฎี Dow Theory" ที่นับว่าเป็นทฤษฎีที่สำคัญมากที่สุดในการลง...
การเป็นนักเทรดมืออาชีพนั้น จะเป็นได้ก็ต่อเมื่อเรามีความตั้งใจจริงที่จะเรียนรู้ Forex และมีการฝึกฝ...
Position Sizing คือ ? Position Sizing คือ ขนาดหรือจำนวนของการลงทุนของเราเทรดนั่นเองครับ หากเปรีย...
ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆกับความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่อาจดันราคาน้ำมันให้พุ่งสูง ...
ทำความรู้จักกับ Trading Platform Forex Trading Platform ทำหน้าที่อะไร ? ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่...
IronFX เปิดให้บริการในไซปรัสในปี 2010 และปัจจุบันได้ขยายธุรกิจไปแล้วกว่า 180 ประเทศ IronFX ...
รายละเอียดของ โบรกเกอร์ IUX Markets IUX Markets Limited เป็นตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการควบคุมและได...