List of content

Dollar Index (ดัชนีดอลลาร์) ดูยังไง? สำคัญอย่างไรกับตลาด Forex


Dollar Index (ดัชนีดอลลาร์) ดูยังไง? สำคัญอย่างไรกับตลาด Forex

หากพูดถึงสกุลเงินที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ทุกคนคงนึกถึง ดอลลาร์สหรัฐ หรือ USD นั่นเอง เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์ เป็นสกุลเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา และมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินอื่น ๆ ทั่วโลก ในตลาดการลงทุน เทรดเดอร์ต้องติดตามหลายสกุลเงินเพื่อทำการเปรียบเทียบมูลค่า และวิเคราะห์ก่อนการเทรดหรือลงทุนครับ

ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสะดวกต่อเทรดเดอร์ จึงได้มีการพัฒนาดัชนี ซึ่งเป็นค่าเงิน US ที่ใช้ในการติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เราจึงเรียกดัชนีดังกล่าวว่า US Dollar Index หรือ ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ ในบทความนี้ทีมงาน Fxbrokerscam จะพาไปรู้จักกับ Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีที่เทรดเดอร์ควรรู้จัก เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Dollar Index (ดัชนีดอลลาร์) คืออะไร?

Dollar Index หรือ ดัชนีดอลลาร์ คือ ดัชนีค่าเงินของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ได้รับการพัฒนาครั้งแรกในปี 1973 โดย Federal Reserve (Fed) ดำเนินการภายใต้การดูแลของ International Exchange (ICE) ใช้ดูการแข็งค่าหรืออ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ โดยมีสกุลเงินที่เป็นของประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ 6 คู่สกุลเงินหลัก ได้แก่

  • ยูโรโซน (EUR)

  • เยนญี่ปุ่น (JPY)

  • ปอนด์อังกฤษ (GBP)

  • ดอลลาร์แคนาดา (CAD)

  • โครนาสวีเดน (SEK)

  • ฟรังก์สวิส (CHF)

Dollar Index (ดัชนีดอลลาร์) มีหลายชื่อที่ใช้ในวงการการลงทุน เช่น  US Dolllar Index, Dollar Spot Index หรือ USDX เป็นต้น ไม่ว่าจะเรียกว่าอย่างไร ดัชนีดอลลาร์ก็คือ ดัชนีที่คำนวณค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เปรียบเทียบกับค่าเงินต่าง ๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับทองคำเป็นอย่างมาก ทำให้คู่สินทรัพย์ XAU/USD เป็นที่นิยมในการเทรดอย่างกว้างขวาง รวมไปถึงยังมีคู่เงินที่นิยมเทรดอื่น ๆ อีกมากมาย 

ประวัติ Dollar Index (ดัชนีดอลลาร์)

เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกตั้งให้เป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศ ทำให้มูลค่าของสกุลเงินอื่น ๆ ถูกผูกเข้ากับดอลลาร์ และดอลลาร์ก็ผูกอยู่กับทองคำอีกที (หนึ่งออนซ์ = 35 ดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods system) ได้ถูกยกเลิกไป ทำให้ทองคำสำรองของสหรัฐฯ หมดลง และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ก็ไม่สามารถคงมูลค่าของตัวเองไว้ได้ ด้วยเหตุนี้ DXY จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นวิธีการบันทึกมูลค่าของสกุลเงิน

 

US Dollar Index

 

Dollar Index (ดัชนีดอลลาร์) ดูยังไง

Dollar Index (ดัชนีดอลลาร์) จะใช้ประกอบกับการเทรดคู่สกุลเงินที่มี USD ประกอบ โดยมี USD เป็นสกุลเงินหลัก อาทิเช่น XAU/USD, USD/EUR, USD/GBP และ AUD/USD ซึ่ง Dollar Index ก็จะมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน

นอกเหนือจากการเทรดใน Forex แล้ว เรายังสามารถที่จะใช้ Dollar Index (ดัชนีดอลลาร์) ประกอบการเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์อย่างอื่นได้อีก เช่น ทองคำหรือน้ำมัน เพราะ Dollar Index แสดงการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนี้

  • ถ้า US Dollar Index เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะลดลง

  • ถ้า US Dollar Index ลดลง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะเพิ่มขึ้น

ซึ่งเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า Dollar Index (ดัชนีดอลลาร์) วิ่งในทิศทางตรงกันข้ามกับทองคำและน้ำมันอย่างชัดเจน ดังนั้น Dollar Index (ดัชนีดอลลาร์) ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณคาดการณ์แนวโน้มทิศทางของคู่สกุลเงิน รวมทั้งสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเช่น ทองคำและน้ำมันได้อีกด้วยครับ

ลงทุนดัชนีดอลลาร์ทำอย่างไร ?

การลงทุนดัชนีดอลลาร์สามารถทำได้หลายรูปแบบ และนี่คือ 3 วิธีในการลงทุนดัชนีดอลลาร์ที่นักลงทุนนิยม ได้แก่

  • ซื้อเงินดอลลาร์

การลงทุนดอลลาร์แบบดั้งเดิมของนักลงทุน คือการแลกเงินหรือการซื้อเงินดอลลาร์มาสะสมไว้ โดยแลกสกุลเงินของประเทศตนเองเป็นดอลลาร์ จากการไปติดต่อร้านแลกเงิน หรือหากต้องการเทรดค่าเงินจำนวนมากก็สามารถติดต่อดีลเลอร์ได้ เมื่อเรทราคามีการเปลี่ยนแปลงก็สามารถนำออกมาขาย ซึ่งกำไรจะมาจากส่วนต่างของราคานั่นเอง

  • ซื้อกองทุนตลาดเงินต่างประเทศ

การลงทุนด้วยวิธีนี้ทำได้ด้วยการเปิดบัญชีกองทุนแล้วส่งคำสั่งซื้อขายผ่านตัวแทนหรือแอป และได้ผลตอบแทนเป็นส่วนต่างราคาซื้อขายหน่วยลงทุน

  • เทรด CFD

การเทรดดัชนีดอลลาร์ด้วย CFD เป็นการลงทุนที่มีความสะดวกและคล่องตัวมาก โดยนักลงทุนสามารถใช้อัตราทด ช่วยลดเงินต้นที่ต้องนำมาเทรด ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงทศนิยมเพียงไม่กี่ตำแหน่งก็สร้างผลกำไรให้กับนักลงทุนได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ทำกำไรได้ทั้งในขาขึ้นและขาลงอีกด้วย จึงเหมาะมาก ๆ กับนักลงทุนที่ต้องการเทรดระยะสั้น

หมายเหตุ: การลงทุนดัชนีดอลลาร์แต่ละแบบมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียด และข้อจำกัดของแต่ละวิธีก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง