List of content

Robot กับการเทรดดีอย่างไร ? เสียอย่างไร ?


Robot กับการเทรดดีอย่างไร ? เสียอย่างไร ?

Robot กับการเทรดดีอย่างไร ? เสียอย่างไร ?

แนวคิดในการนำระบบเทรดอัตโนมัติ หรือ Robot Trading มาใช้ในการลงทุน เกิดจากจุดอ่อนที่ว่า “มนุษย์มีจิตใจ” ส่งผลให้การวิเคราะห์และตัดสินใจนั้นมีอคติ อ่อนไหวง่าย ทำให้มีอารมณ์เหนือการตัดสินใจ นอกจากนี้มนุษย์คือเผ่าพันธุ์ที่ขี้เกียจ ไม่ชอบทำงานที่ต้องใช้เวลา และทำแบบเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา ที่สำคัญมนุษย์ไม่ได้มีหน้าที่ลงทุนเพียงอย่างเดียว การโฟกัสหรือสมาธิมักจะถูกดึงออกไปได้ง่าย ทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้เสมอดังนั้นจึงเกิดไอเดียการนำ Robot หรือคอมพิวเตอร์มาลงทุนแทนมนุษย์

โดยการสร้างระบบการเทรดอัตโนมัติขึ้น มีชื่อเรียกที่หลากหลาย เช่น Algorithmic Trading, Program Trading, Automated Trading, System Trading และ Robot Trading ซึ่งล้วนมีความหมายใกล้เคียงกัน นั่นคือ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นได้ด้วยตัวมันเองทันที เมื่อราคาหุ้น สภาวะตลาดหรือตัวแปรอื่น ๆ เข้าเงื่อนไขของโมเดลที่ถูกเขียนขึ้นโดยมนุษย์นั่นเอง

Robot จะทำงานได้ดีกว่าคนได้อย่างไร เรามาดูกัน

จุดเด่น

ข้อแรก: Robot ไร้อารมณ์ ซึ่งทำให้มันมีความโดดเด่นในด้าน "ความคงที่ของการตัดสินใจ" เนื่องจากมันไม่มีความรู้สึก จึงทนต่อแรงกดดันจากสภาวะต่าง ๆ ได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อการคิดและตัดสินใจ ต่างจากมนุษย์ที่หากวันไหนใจไม่นิ่ง ความสามารถในการเทรดหุ้นก็จะลดลง นักลงทุนส่วนใหญ่ที่อ่อนไหวกับการเทรดมักกอดหุ้นที่ขาดทุนโดยหวังว่าจะขึ้นในอนาคต และพอได้กำไรก็รีบขายไม่เก็บไว้ ซึ่งจะต่างกับหุ่นยนต์ที่จะซื้อขายตามโปรแกรมที่กำหนดเท่านั้น

ข้อสอง: Robot ไม่ขี้เกียจ ทำงานตามคำสั่งอย่างมีวินัย ด้วย Robot ทำงานตามกลยุทธ์การลงทุน เงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นแล้ว พร้อมที่จะทำงานได้โดยอัตโนมัติอย่างไม่มีอิดออดแม้ว่าจะอยู่ในช่วงตลาดผันผวนก็ตาม หุ่นยนต์จะไม่มีวันเหลวไหล เพราะมันถูกป้อนคำสั่งให้ทำหน้าที่นั้นแล้ว เวลาได้กำไรก็จะไม่หลงระเริง เวลาตัดขาดทุนจะไม่มีอาการเสียดาย เวลาขายหมูก็จะไม่มานั่งคร่ำครวญเสียใจ

ข้อสาม: เราสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ โดยส่วนใหญ่แล้วโปรแกรมจะนำข้อมูลย้อนหลังมาทำการพิสูจน์ไอเดียหรือกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย และนำไปออกแบบระบบเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติ การนำข้อมูลมาพิสูจน์ย้อนหลัง หรือ Backtesting นั้น จะช่วยให้เห็นภาพว่าผลตอบแทนและความเสี่ยงเป็นอย่างไร หากเราใช้กลยุทธ์แบบนี้แล้ว ความเป็นไปได้ที่จะได้กำไรนั้นมีมากน้อยแค่ไหน

ข้อสี่ มีประสิทธิภาพมากกว่า: Robot จะตัดสินใจและส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นเข้าไปในระบบอัตโนมัติ จึงทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอให้เสียเวลา หรือต้องส่งคำสั่งซื้อขายเองด้วยมือ เพราะบางครั้งก็ส่งคำสั่งผิด ๆ ถูก ๆ หลายคนจะสั่งขายแต่ไปกดซื้อเสียอย่างนั้น สู้ดีเราเอาเวลาไปทำอย่างอื่น เช่น ค้นหากลยุทธ์ในการลงทุนใหม่ ๆ จะดีกว่า

ข้อห้า เพิ่มความเร็วในการซื้อขายได้ดีกว่า: หุ่นยนต์ทำได้เร็วกว่าแน่นอน เพราะถูกลงคำสั่งไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อเกิดสัญญาณซื้อหรือขายก็จะทำตามคำสั่งทันที ต่างจากมนุษย์ที่ต้องประมวลการตัดสินใจในสมองก่อน ยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยีการเทรดความเร็วสูง (High Frequency Trading) พัฒนาไปเร็วมากถึงขั้นส่งคำสั่งได้หลายครั้งในช่วงเวลาแค่กะพริบตา และทำให้เราสามารถเทรดหุ้นหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ได้มากขึ้น บ่อยขึ้น เทรดข้ามตลาดหุ้นหรือแม้แต่เทรดตลอด 24 ชม. ในบางตลาด เช่น FOREX ก็ได้

ข้อสุดท้าย กระจายความเสี่ยงได้ดีและเลือกลงทุนได้หลายกลยุทธ์: การใช้ Robot เทรดหุ้นนั้นจะอนุญาตให้เราเทรดได้หลายบัญชีและหลากกลยุทธ์ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสแกนเพื่อหาโอกาสการลงทุนข้ามตลาดได้ทั่วโลก พร้อมส่งคำสั่งซื้อและเฝ้าสังเกตให้กับเรา

undefined

อ่านดูแล้วเหมือน Robot Trading จะเก่งกาจ ช่วยให้เราลงทุนได้ดีกว่า แต่นั่นแหละ เหรียญมักมีสองด้านเสมอ แม้ Robot จะมีข้อดีมากมาย

แต่มันก็มีจุดอ่อนเช่นกัน มาดูว่ามีอะไรบ้างใช้คนหรือ Bot ลงทุนให้เราดีกว่ากัน

จุดอ่อน

ข้อแรก: ระบบคอมพิวเตอร์อาจล้มเหลว ต้องการการตรวจสอบดูแลตลอดเวลา แม้จะบอกว่าการเทรดด้วย Robot ทำให้เรามีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอทั้งวัน แต่จริง ๆ แล้ว การทำงานอย่างอัตโนมัติก็ต้องมีการตรวจสอบและเฝ้าดูอยู่เป็นระยะ ๆ เพราะอาจเกิดเหตุระบบล้มเหลวได้ เช่น การเชื่อมต่อขัดข้อง เซิร์ฟเวอร์มีปัญหา ส่งผลทำให้การส่งคำสั่งซื้อขาย Error ตกหล่น หรือทำซ้ำก็ได้

ข้อสอง Robot ทำงานตามคำสั่งเป๊ะมากเกินไป: ด้วยความเถรตรงเกินไปของเจ้าหุ่นยนต์ บางครั้งราคาอาจไม่เป็นไปตามทฤษฎีใด ๆ หรืออาจจะมีเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อราคาหุ้น ซึ่งอยู่นอกเหนือการประเมินของหุ่นยนต์ จึงทำงานพลาดพลั้งได้ ดังเช่น เหตุการณ์ Black Monday ที่เกิดขึ้นในปี 1987 ที่ Robot ถล่มขายหุ้นออกจากตลาด เนื่องจากไม่ได้คำนวณแรงเทขายที่เกิดขึ้น จากความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยส่งผลให้นักลงทุนและกองทุนต่าง ๆ ต้องแห่ขายหุ้นตามกันไป กดดันให้ดัชนีดาวโจนส์ ดิ่งต่ำลงถึง 22% และใช้เวลานานถึง 14 เดือนกว่าตลาดจะฟื้นตัวกลับมาดังเดิม

ข้อสาม ความปลอดภัยและข้อมูลที่อาจรั่วไหล: ในกรณีที่มีผู้ล่วงรู้ถึงรูปแบบ ช่วงราคาการซื้อและขายของโปรแกรมก็อาจซื้อหรือขายหุ้นเพื่อดักทาง จนสร้างความเสียหายแก่นักลงทุนที่ใช้ระบบได้ จึงต้องมีการพัฒนาระบบบนมาตรฐานความปลอดภัย มีการป้องกันการเจาะข้อมูล และการรั่วไหลของข้อมูลเป็นอย่างดี ปัจจุบันการลงทุนด้วย Robot นั้น สามารถทำได้สองแบบคือ หากคุณเป็นคนมีความรู้ด้านสถิติตัวเลข และการเขียนโปรแกรม คุณสามารถเป็นผู้สรรสร้าง Algorithm หรือป้อนแบบโปรแกรมการลงทุนได้ค่ะ แต่หากคุณเป็นนักลงทุนที่ไม่มีความรู้ด้านโปรแกรมเลย ง่ายที่สุด

เราก็เป็นผู้เลือกกลยุทธ์ ที่ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นมาแล้วก็ได้ มีหลายที่ในไทยให้บริการด้านนี้แล้ว

หลักการสำคัญในการลงทุนด้วย Robot นั้นคือ คุณต้องเข้าใจหลักการลงทุน เข้าใจโปรแกรมหรือกลยุทธ์การลงทุนด้วย Robot นั้นอย่างถ่องแท้ ต้องเป็นแนวการลงทุนที่คุณชอบและถนัดมากที่สุด และที่สำคัญคุณต้องเชื่อใจมัน ปล่อยให้ระบบโชว์ความสามารถแสดงผลงาน คุณต้องไม่แทรกแซงขณะที่โปรแกรมทำงาน เพราะนั่นจะเป็นการทำลายกระบวนการทั้งหมดที่ได้สร้างไว้แล้ว อาจส่งผลให้คุณขาดทุนมากกว่าเดิมก็ได้

ระบบ Robot Trading ในปัจจุบันยังคงเป็นระบบ Quant หรือการคำนวณโดยหลักคณิตศาสตร์อยู่ ซึ่งต่อไปในอนาคต นักพัฒนาเริ่มที่จะนำ A.I. มาเสริมต่อความอัจฉริยะให้กับระบบ ทำให้สามารถคิดและวิเคราะห์การลงทุนด้วยเหตุและผลเองได้ นำข้อมูลในเชิงคุณภาพ (Qualitative) มาเรียนรู้และจดจำสิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียนได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งจะทำให้มันสามารถปรับตัวในการเทรดได้เหมือนมนุษย์ และยังคงมีความสามารถในการเทรดตามโปรแกรมที่แน่นอนอยู่

ต้องติดตามกันต่อไปว่าระบบ Robot จะพัฒนาให้ฉลาดและสามารถลงทุนให้เราได้กำไรแค่ไหนในยุคที่ทุกอย่างกำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีแบบนี้ ระบบอัตโนมัติต่าง ๆ จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่การลงทุน เราเองก็คงต้องปรับตัวให้พร้อมรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นให้มากที่สุด