List of content

หรือจะต้องถอย? นักเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ แบงค์จีน อาจจะลดนโยบาย RRR ลง


หรือจะต้องถอย? นักเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ แบงค์จีน อาจจะลดนโยบาย RRR ลง

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ธนาคารกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนอาจจะถอยนโยบายปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงิน (RRR) ออกไปเร็ว ๆ นี้

โดยธนาคารกลางจีนได้ใช้นโยบายต่าง ๆ เพื่อปรับค่าอัตราดอกเบี้ยและปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจของจีน หนึ่งในนั้นก็คือ RRR ซึ่งถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสภาพคล่องทางการเงินของจีน โดยการให้สภาพคล่องระยะยาวแก่ผู้ให้บริการกู้ หรือก็คือธนาคารพาณิชย์จะเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้แก่ธนาคารกลางน้อยลง และสามารถใช้เงินนั้นปล่อยกู้ให้กับลูกค้าอื่นได้อีกด้วย โดยธนาคารกลางจีนเชื่อมั่นว่านโยบายนี้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน

ธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราส่วนลงอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดย RRR ได้ถ่วงค่าเฉลี่ยสำหรับทุกธนาคารลดลงเหลือ 8.4% จากประมาณ 21% ในปี 2554 ค่า RRR สำหรับธนาคารรายใหญ่ได้ปรับลดลงจาก 21.5% เป็น 11.5% ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อีกทั้งธนาคารกลางยังได้ผลักดันการส่งเสริมเสถียรภาพทางการเงินให้ครอบคลุมมากขึ้นโดยการปรับลดอัตราส่วนสำหรับธนาคารในชนบทเหลือ 5% ในช่วงเวลาก่อนปี 2554 ธนาคารกลางเคยยกเลิก RRR มาแล้ว เพราะเกินดุลของบัญชีเดินสะพัดและมีเงินทุนหมุนเวียนมหาศาล

นักเศรษฐศาสตร์หลาย ๆ คนกล่าวว่า ณ ตอนนี้ ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มที่จะปรับ RRR ในขณะที่การเก็งกำไรนั้นเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ธนาคารกลางจีนอาจจะลดอัตราส่วนลงอีกครั้ง

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัท Nomura Holding Inc. นาย Lu Ting กล่าวว่า “สัดส่วนพื้นที่ในการปรับลด RRR นั้นมีค่อนข้างจำกัดในตอนนี้” และเขายังเสริมอีกด้วยว่า “การใช้ RRR ในการจัดการสภาพคล่องทางการเงินนั้นจะเป็นอดีตในไม่ช้า”

แต่อย่างไรนั้นเครื่องมือนี้ก็ยังกว้างเกินไปที่จะให้บริการกู้ยืมแก่ภาคส่วนที่ต้องการได้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ธนาคารกลาง ได้เพิ่มการใช้มาตรการเพื่อกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดเล็กและโครงการพลังงานสีเขียวเพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของ "หน้าที่เชิงโครงสร้าง" ของนโยบายการเงิน

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ฝ่าย Greater China และ North Asia ของ Standard Chartered Plc. นาย Ding Shuang กล่าวว่า “ธนาคารกลางมักจะพึ่งพาธุรกรรมให้กู้ยืมสภาพคล่องระยะกลาง (MLF), การดำเนินนโยบายทางการเงินผ่านทางตลาดการเงินและการปล่อยสินเชื่อต่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับระบบการเงิน แต่ในระยะยาว ธนาคารกลางจีนอาจจะต้องพิจารณาการซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อขยายฐานการเงิน และในอนาคต RRR อาจจะถูกใช้น้อยลง”

นาย Avishek Suman หัวหน้าฝ่ายวิจัยการลงทุนของจีนที่ Acuity Knowledge Partners กล่าวว่า "RRR ควรจะถูกกีดกันมากกว่านี้ เนื่องจากขาดความแม่นยำในการส่งผลกระทบ รวมไปถึงมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าการอัดฉีดผ่าน MLF และการดำเนินนโยบายทางการเงินผ่านทางตลาดการเงิน”

นาง Meng Xiangjuan นักวิเคราะห์จาก SWS Research Co. กล่าวว่า “RRR ไม่สามารถแก้ไขปัญหาบางอย่างได้ เช่น ความต้องการสินเชื่อที่อ่อนแอลง ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ได้รับแรงกดดันจากระเบียบที่เข้มงวดและการควบคุมโรค COVID-19”

“หากไม่มีการแก้ไขปัญหาอุปสงค์ การเพิ่มสภาพคล่องในวงกว้างผ่านการปรับลด RRR จะนำไปสู่การสะสมเงินทุนในระบบการเงินโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจที่แท้จริง”

“ดังนั้น เราเชื่อว่ามีความจำเป็นน้อยลงสำหรับการปรับลด RRR และความถี่ของการปรับลด RRR ก็ควรลดลงเช่นกัน” เธอกล่าวเสริม

เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางจีนได้พาดพิงถึงความจริงที่ว่าการลดอัตราส่วนลงในอนาคตนั้นมีขอบเขตที่น้อยกว่าเดิม

ผู้ว่าธนาคารจีนนาย Yi Gang ได้กล่าวไว้ในปี 2562 ว่า ระดับเงินสำรองโดยรวมของธนาคารจีนอยู่ในระดับเดียวกันกับธนาคารของประเทศที่พัฒนาแล้ว และช่องว่างสำหรับการลดปริมาณเงินต่อไปนั้น “น้อยกว่าเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา” และรองผู้ว่าการธนาคารจีน นาย Liu Guoqiang ได้ย้ำความคิดเห็นเหล่านั้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

นาย Liu Guoqiang รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีนได้ให้สัมภาษณ์ระหว่างการแถลงข่าวในเดือนมกราคมที่ผ่านมา “ถึงแม้ค่าเฉลี่ยจะน้อยลงแต่เรายังคงใช้ประโยชน์จากมันได้อีกโดยอ้างอิงจากสภาพเศรษฐกิจและความต้องการของนโยบายมหภาค”

การตรวจสอบการปรับลด RRR ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบ่งชึ้ว่า การปรับค่า RRR นั้นประสบความสำเร็จในการส่งเสริมเสถียรภาพทางการเงิน คิดจากจำนวนเงินที่มากขึ้นในสัดส่วนระหว่าง ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชน (M2) และฐานเงินที่สร้างโดยธนาคารกลางจีน แสดงให้เห็นว่าแต่ละหยวนที่ธนาคารกลางอัดฉีดเข้าสู่ระบบการเงินนั้นได้นำไปสู่มากกว่า 7 หยวนในระบบเศรษฐกิจผ่านการปล่อยกู้ของธนาคาร อีกทั้งการปล่อยกู้ยังเพิ่มขึ้นจากเพียงแค่ 4 หยวนในทศวรรษที่แล้ว

แต่ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นนั้นมันยังนำไปสู่ความไม่สมดุลของระบบเศรษฐกิจได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น หนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ในภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลกำลังแก้ไขโดยการควบคุมการปล่อยสินเชื่อในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเจ้าหน้าที่ต้องการให้เงินกู้ไหลเข้าสู่พื้นที่เศรษฐกิจที่อ่อนแอ เช่น ธุรกิจขนาดเล็ก หรืออุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ เช่น พลังงานสีเขียว

อย่างไรก็ดี เราก็ควรที่จะต้องรอฟังประกาศอย่างเป็นทางการจากทางธนาคารกลางจีนต่อไปเกี่ยวกับนโยบาย RRR ในอนาคต